Writing Eating และ Waiting VS Writting Eatting และ Waitting คำว่า Writing Eating และ Waiting เขียนโดยมีตัว t ตััวเดียวนะครับ เห็นพวกเราหลายๆคนชอบเขียนโดยเพิ่มตัว t ไปอีกตัวกันทุกที . . . ขอให้ภาษาอังกฤษขั้นเทพกันทุกคนนะครับ ... ajton

"I use/spend time around 30 minutes to drive here" VS "It took me 30 minutes to drive here"

เวลาจะพูดว่าใช้เท่าไรในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนไทยมักจะมีแนวโน้มที่จะพูดว่า I use/spend time around 30 minutes to drive here. ซึ่งจริงๆที่ถูกต้องควรจะพูดว่า It took me 30 minutes to drive here. เราใช้ pattern ต่อไปนี้ในการบอกว่า เราใช้เวลาไปเท่าไรในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนะครับ >>>It take(s) someone some time to do something<<< เช่น It often takes me 5 minutes to walk to the canteen from my office. It took Somchai an hour to finish his presentation yesterday. It took her about 10 minutes to write the report. จะสังเกตว่า take ต้องเติม s ถ้าเป็นเรื่องปกติ เป็นประจำ และจะต้องเปลี่ยนเป็น took ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ขอให้ภาษาอังกฤษเทพๆกันทุกคนนะครับ ... ajton

สรุปการใช้ Verb to be(1)

สรุปการใช้ Verb to be(1)

1) Subject + be + (AoF) + (AoD) + Adjectives
2) Subject + be + (AoF) + (AoD) + (Adj) + Nouns
3) Subject + be + (AoF) + Prepositional Phrases
4) Subject + be + Ving
5) Subject + be + (AoF) + V3

**ห้ามใช้ verb to be กับ verb1, verb2 และ verb เติม s เด็ดขาด**

ตัวอย่างประโยคที่คนไทยและคนเอเชียใช้ผิดบ่อยที่สุดกับ verb to be

-Where are you come from?
-I’m not understand
-I’m study at…
-I’m graduated from…, I was graduated from…
-They are consist of…
-It’s mean that…
-Are you really want to…
-Are you speak English?
-Subject + modal verbs: will, must, may…+ be + Verb1
-It will be start on…


1) Subject + be + (AoF) + (AoD) + Adjectives

Adjectives =>describing things/persons: big, interesting, handsome, strict, dark, smart, good, green, Chinese, awesome…
=>describing persons’ feelings: hungry, exhausted, tired, interested, lonely, angry, bored, grateful, happy, excited…

***ข้อควรระวังสำหรับการพิจารณา Adjective ที่ขยายความรู้สึกจะต้องไม่ใช่
non continuous verbs เช่น love want understand…กริยาเหล่านี้ไม่ใช้ verb to be นำหน้า

AoF = Adverbs of Frequency: always, usually, sometimes…
AoD = Adverbs of Degree: very, too, quite, completely…

*** สำหรับ AoF หรือ AoD เราจะใส่หรือไม่ก็ได้แล้วแต่ความหมายที่เราต้องการจะสื่อสาร


Examples

They are usually completely exhausted from the trip.

I am too tired to go out tonight.

ajton is very strict with his students’ pronunciation.

Thai Prime minister is really good at English.

Chelsea football club is very rich.

Jon Bon Jovi is extremely handsome.

We are Thai.

The students at Rangsit Language Center in Justco Klong

2 are always hard working.

The quality of the teachers here is very high.

My brothers and I are really interested in football.

***ลิ๊งค์ข้างล่างนี้รวม Adjectives ไว้ 732 ตัง ตั้งแต่ A-Z ฟรีครับ
http://www.esldesk.com/vocabulary/adjectives.htm
บทต่อไป >>> 2) Subject + be + (AoF) + (AoD) + (Adj) + Nouns
Coming soon!!!

เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

"How to be successful in learning English in Thailand"
สูตร 5 ms
1) Movies-ดูหนังฝรั่งให้มากที่สุด ห้ามปิด subtitle เด็ดขาดถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษ
2) Music-ฟังเพลงฝรั่งและหาเนื้อร้องมาดูไปพร้อมๆกับฟัง
3) Man-พยายามฝึกพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งหรือผู้ที่เก่งกว่าเราไม่ว่าจะเป็น เพื่อนหรืออาจารย์ อย่ากลัว อย่าอาย
4) Msn-ฝึกแช็ทเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าไม่มีคนแช็ทด้วยเจ้าโจอี้โลมาแสนรู้ช่วยได้
5)Magazines-หาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ เช่น ฟุตบอล แฟชั่น นักร้องคนโปรด ที่เป็นภาษาอังกฤษมาอ่าน student weekly ก็ได้
***สูตร5ms จะสำเร็จไม่ได้ถ้าผู้เรียนไม่เรียนการสร้างประโยคควบคู่กันไป

หลักสูตรการสร้างประโยคเพื่อใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน และในที่ทำงาน (Sentence Structures)

· สอนพื้นฐานการสร้างประโยคเพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทุกสถานการณ์โดยไม่ต้องท่องจำ

· สอนวิธีการจำคำศัพท์ และ สำนวนต่างๆ ที่ถูกใช้บ่อยๆในการสนทนาทั่วไป

· สอนวิธีการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่คนไทยคิดว่ายาก น่าเบื่อ และนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง ให้เป็นเรื่องง่าย สนุกและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในที่ทำงาน หรือ การเรียนต่อ


หลักสูตรการสนทนา (Conversation)

· สอนการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องจากหน่วยที่เล็กที่สุดของภาษา : พยางค์ คำ และ ประโยค

· สอนการออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้การประยุกต์จากระบบเสียงวรรณยุกต์ของภาษาไทย

· สอนเทคนิคการพูดภาษาอังกฤษในแต่ละสำเนียง และการนำโครงสร้างที่เรียนในหลักสูตร1มาประยุกต์ใช้ในบทสนทนา


หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (TOEIC, TOEFL, IELTS and Writing)

· สอนไวยากรณ์และคำศัพท์ขั้นสูงเพื่อนำไปใช้ในการสอบชนิดต่างๆ

· สอนเทคนิคการทำข้อสอบชนิดต่างๆโดยประยุกต์จาก2หลักสูตรข้างต้น

· สอนคำศัพท์ธุรกิจ คำศัพท์วิชาการ และรูปแบบการเขียนชนิดต่างๆ








TOEIC, TOEFL and IELTS

หลักการและเหตุผล



เนื่องจากปัจจุบันภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญมากไม่ว่าจะในด้านการศึกษาต่อในระดับสูง เช่น ปริญญาโทและปริญญาเอก หรือ ในด้านการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานในองค์การใหญ่ๆ

ดังนั้นจังปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การทดสอบความรู้ทางภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐาน (standardized tests) เช่น TOEIC, TOEFL หรือ IELTS จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ หรือ ผู้ที่ต้องการจะทำงานในองค์กรใหญ่ และงานสายการบินต่างๆ

วัตถุประสงค์

- เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 (reading, listening, speaking and writing) ของผู้ที่จะทำการสอบข้อสอบดังกล่าวข้างต้น
- เพื่อสอนเคล็ดลับ และเทคนิคในการทำข้อสอบดังกล่าวข้างต้นจากอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ในการทำข้อสอบเหล่านี้ และได้คะแนนสูงมาก


เนื้อหาของหลักสูตร

Course I: (60 ชม.)

-นักเรียนจะได้รับการปรับและปูพื้นฐานในการสร้างประโยค(sentence structures)
-เทคนิคการออกเสียงที่ถูกต้อง เช่น การเน้นเสียงหนัก (stress), การเชื่อมเสียง (linking sounds) และ ความแตกต่างของสำเนียง (accent : American and British)

ทำไมต้องเรียนสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะง่ายๆอย่างนี้ด้วย ???

เนื่องจากปัจจุบันนี้ข้อสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น TOEIC, TOEFL หรือ IELTS ต่างก็พยายามจะปรับปรุงให้ตัวข้อสอบเพื่อวัดความสามารถของผู้สอบได้จริงๆ (direct tests)

โดยเฉพาะ TOEFL ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นระบบ Internet Based Test (iBT) ซึ่งจะวัดความสามารถในแต่ละทักษะพร้อมกัน(integrated skills)

เช่น ในส่วนของ writing แทนที่ผู้สอบจะได้ทำข้อสอบแบบตัวเลือก (multiple choices) หรือหาคำผิดในประโยค (error recognition) เหมือนที่ผ่านมา แต่ใน TOEFL (iBT) ผู้สอบกับต้องอ่านบทความ 1 หน้า ,ฟังอาจารย์เจ้าของภาษา (American) สอนเกี่ยวกับบทความดังกล่าว

และ สุดท้ายผู้สอบจะต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านและสิ่งที่ฟัง.
ถ้าผู้สอบไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทั้ง 4 ทักษะ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำข้อสอบประเภทนี้ได้

ดังนั้นCourse I 60 ชม. จึงถือเป็นแก่นของบทเรียนที่นักเรียนไม่ควรพลาดเลย.

Course II:

1) TOEIC (30 ชม.)


-Listening 15 ชั่วโมง -เรียนเทคนิคการทำข้อสอบประยุกต์มากจาก Course I
-Reading 15 ชั่วโมง -เรียนเทคนิคการทำข้อสอบและฝึกทำข้อสอบจริง.

2) TOEFL หรือ IELTS (40 ชม.)


-Reading 10 ชั่วโมง -คำศัพท์วิชาการ, คำศัพท์เทคนิค, เทคนิคการอ่านแบบ skim/scan


-Listening 10 ชั่วโมง -เทคนิคการฟังประยุกต์มากจาก Course I


-Speaking 10 ชั่วโมง

-เทคนิคการพูดแบบ American / British.
-เทคนิคการวางแผน ในการพูด(Speech outline)


-Writing 10 ชั่วโมง

-เทคนิคและรูปแบบการเขียนเชิงวิชาการ (Academic writing)
-เทคนิคการวางแผนการเขียน (Writing outline)
-สอนประโยค และวลีสำเร็จรูป(Writing templates)

ติดต่อ อาจารย์ต้น>>>คลิกที่นี่

ฝากคำถาม หรือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ คลิ๊กที่นี่ ครับ